ประเทศไทยบ้านเราไม่ว่าจะช่วงไหนอากาศก็คือร้อนมากไปถึงร้อนสุด โดยวิธีการดับความร้อนของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป แต่มีใครชอบทานขนมหวานเพื่อดับความร้อนกันบ้างมั๊ย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เฉาก๊วยชากังราว ขนมหวานพร้อมเสิร์ฟเย็นๆกับรสชาติหวานๆที่เข้ากันดี นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณที่ช่วยแก้โรคต่างๆได้อีกด้วย วันนี้เราไปทำความรู้กันและวิธีทำเฉาก๊วยกันเถอะ
ทำความรู้จักและวิธีทำ เฉาก๊วยชากังราว ขนมหวานขึ้นชื่อของเมืองกำแพงเพชร
ก่อนจะไปเรียนรู้วิธีทำของเฉาก๊วยชากังราว ขนมหวานที่ช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี ทั้งความหวาน ความอร่อย และความเย็นของขนมชนิดนี้ ที่มาของเจ้าเฉาก๊วยของดีที่ขึ้นชื่อจากเมืองกำแพงเพชรนั้นทำมาจากอะไร ทำไมเนื้อสัมผัสของมันทั้งมีความเหนียวความหนึบเมื่อได้รับประทานเข้าไปแล้ว วันนี้แอดจะมาไขข้อสงสัยให้เพื่อนๆได้ฟัง
แท้ที่จริงเมนูขนมหวานเฉาก๊วยชากังราว ทำมาจากต้นเฉาก๊วยนั้นเอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการทำขนมชนิดนี้เลย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าต้นเฉาก๊วยมีถึง 3 สายพันธุ์นั้นเอง ก็คือ ต้นเฉาก๊วยจากประเทศจีน ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศเวียดนาม แต่ละสายพันธุ์มีรสชาติที่แตกต่างกันไป ดังนี้
สายพันธุ์ต้นเฉาก๊วย
1. เฉาก๊วยจากประเทศจีน
รสชาติเฉาก๊วยประเทศจีน จะมีรสชาติที่กลมกล่อมมากกว่าเฉาก๊วยจากประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย ด้วยความที่ประเทศจีนนั้นมีอากาศที่เย็น จึงจัดต้นเฉาก๊วยอยู่ในประเภทเดียวกับตระกูลมิ้นต์ โดยส่วนใหญ่จะชอบขึ้นตามหุบเขา ถือว่าเป็นประเทศแรกที่ประเทศไทยนำมาแปรรูปเป็นขนมหวาน ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมจากประเทศจีน
2.เฉาก๊วยจากประเทศอินโดนีเซีย
รสชาติเฉาก๊วยประเทศอินโดนีเซีย จะมีเนื้อสัมผัสที่ให้ความเหนียวนุ่มมากกว่าสายพันธุ์อื่น เพราะว่าด้วยประเทศอินโดนีเซียนั้นมีดินภูเขาไฟ จากเกาะสุมาตราทำให้มีแร่ธาตุสูง คุณภาพของเฉาก๊วยจึงออกมาอย่างดี
3. เฉาก๊วยจากประเทศเวียดนาม
รสชาติเฉาก๊วยจากประเทศเวียดนาม จะมีรสชาติที่หวานกว่าประเทศจีนและประเทศอินโดนีเซียอย่างมาก ในประเทศเวียดนามจะเรียกเฉาก๊วยว่าถั๊ตแดน (Thachden) ซึ่งความต่างของเฉาก๊วยเวียดนามจะมีสารน้ำมันหอมระเหยในระดับที่ต่ำมากกว่าพืชในตระกูลเดียวกัน ทำให้ไม่มีกลิ่นที่แรงจึงมีความหวานนั้นเอง
ดังนั้นการเลือกชนิดสายพันธุ์เฉาก๊วยจึงมีผลต่อรสชาติที่ออกมาอย่างมาก ใครอยากเลือกสายพันธุ์ไหนที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการที่จะทำเฉาก๊วยชากังราวก็สามารถเลือกทำได้เลย เพราะไม่มีผลต่อความอร่อยแน่นอน อย่างไรก็ตามการเลือกวัตถุดิบที่สำคัญในเมนูกันไปแล้ว มาถึงเวลาที่เราต้องเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดของเมนูสดชื่นนี้กัน
วัตถุดิบทำเฉาก๊วยชากังราว
- หญ้าเฉาก๊วย 150 กรัม (ควรเลือกแบบแห้งมากกว่าแบบสด)
- แป้งมันสำปะหลัง 125 กรัม
- น้ำเปล่า 2,500 กรัม
- น้ำเปล่าสำหรับละลายแป้งมัน 125 กรัม
- น้ำเชื่อม (น้ำ : น้ำตาลทรายเท่ากับ 1 : 1)
วิธีทำเฉาก๊วยชากังราว
- นำหญ้าเฉาก๊วยที่เตรียมเอา ล้างให้สะอาดจนกว่าดินที่ติดอยู่จะออกหมด ควรล้างน้ำหลายๆรอบเพื่อความแน่ใจ
- ล้างน้ำแล้วควรจะรีบเอาต้มกับน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ทันที เพราะจะทำให้ยางจากต้นเฉาก๊วยออกหมดแล้วจะทำให้ไม่เหนี่ยวนุ่ม นำมาต้มให้เปื่อย ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาพักให้หายร้อน
- พอหายร้อนแล้วนั้น นำผ้าขาวบางมากรองเอาแต่น้ำที่ต้ม ให้กลายเป็นชาเฉาก๊วย บีบคั้นเอาน้ำให้หมด
- หลังจากนั้นนำส่วนของน้ำเฉาก๊วยมากรองใหม่อีกรอบ เพื่อไม่ให้เลือกเศษ
- เตรียมส่วนผสมของแป้งมัน นำน้ำมาละลายกับแป้งมันให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- นำชาเฉาก๊วยที่กรองไว้มาต้มไฟ แล้วค่อยๆเทแป้งมันที่ผสมน้ำไว้ใส่ลงหม้อจนหมด แล้วคนไปในทิศทางเดียวกัน แล้วปิดแต่ยังคงคนต่ออีกนิดเพื่อไล่อากาศออกให้หมด
- สามารถนำลงไปใส่ในถาดพิมพ์ได้ ที่มีความสูง ½ นิ้ว ทิ้งไว้ให้เย็นลงและเกิดการเซตตัวขึ้น
- เก็บที่เหลือไว้ในอุณหภูมิ 1-2 องศาเซลเซียส ไว้ได้นานถึง 7-10 วัน
จบไปแล้วสำหรับเคล็ดไม่ลับวิธีทำเฉาก๊วยชากังราว วัตถุดิบที่เตรียมก็มีน้อยไม่เยอะ และวิธีการทำก็แสนจะง่ายไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถเก็บไว้ทานได้อีกหลายวันอีกด้วย คุณประโยชน์ของเฉาก๊วยทั้งช่วยเรื่องระดับกระหาย แก้ร้อนใน ลดอาการไขข้ออักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด หวังว่าเพื่อนๆที่ลองเอาสูตรไปทำตามกันจะถูกอกถูกใจกับเมนูขนมหวานชนิดนี้กันนะคะ
ขอบคุณรูปจาก health.kapook.com/